ผักสดกรอบ ผลไม้หวานหอม เคยสงสัยไหมว่ากว่าของสดเหล่านี้จะมาถึงท้องพวกเราต้องผ่านอะไรบ้าง? โดยเฉพาะในยุคประเทศไทย 4.0 ผสมผสานวิทยาการล้ำสมัยเข้าไปในทุกอุตสาหกรรมตั้งแต่คมนาคมไปจนถึงการแพทย์ รวมถึงภาคเกษตรกรรมที่หลายคนคิดว่าถูกทอดทิ้งให้ล้าหลังในยุคแห่งดิจิทัลไปแล้ว แท้จริงการเกษตรในไทยกำลังจะก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่การก้าวกระโดดไปข้างหน้าแต่เป็นการค่อย ๆ พัฒนาอย่างมั่นคง! มายลโฉมใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิมของเกษตรกรรม 4.0 กันเถอะ!
การบินจะเกิดขึ้น 2 รอบ รอบแรกจะใช้กล้องถ่ายภาพธรรมชาติความละเอียดสูง เพื่อสร้างแผนที่ 3 มิติและวิเคราะห์สภาพพื้นที่โดยละเอียด จากนั้นก็ใช้โดรนบินอีกรอบหนึ่ง แต่คราวนี้ใช้กล้อง Multispectral เป็นกล้องที่มี 5 เลนส์ โดยแต่ละเลนส์จะสามารถกรองเฉพาะสีได้ ซึ่งหากถ่ายใบไม้ที่สุขภาพดี สีเขียวก็จะสะท้อนออกมาเยอะเป็นพิเศษ ทำให้สามารถรู้ถึงสภาพความอุดมสมบูรณ์ของสวนและทราบว่าควรจะดูแลสวนส่วนไหนเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพที่สุด
พัฒนาฟาร์มระบบออโต้
แนวคิดฟาร์มอัตโนมัติไม่ได้เป็นสิ่งใหม่เพราะมีคอนเซ็ปต์เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน แต่ปัญหาคือค่าใช้จ่ายสูง ไม่คุ้มค่าต่อการนำมาใช้จริง ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สาขาเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนายั่งยืน และเทคโนโลยีการเกษตร ร่วมกันพัฒนาระบบรดน้ำอัตโนมัติผ่านแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนที่มีชื่อว่า ‘Smart Farm Kit’ ซึ่งนอกจากจะสามารถใช้ได้จริงยังสามารถติดตั้งได้ในราคาแสนประหยัด ประมาณ 1,000 บาทก็สามารถติดตั้งระบบได้ 1 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 625 ไร่เลยทีเดียว! ด้วยอุปกรณ์ 3 อย่างได้แก่
- ระบบควบคุมการเปิด-ปิดน้ำ ที่สามารถตั้งเวลาเปิด – ปิดน้ำได้ตามต้องการ
- ระบบเซ็นเซอร์ติดตามสภาพอากาศ
- ระบบสั่งการผ่านสมาร์ทโฟน
ผลจากการทดลองใช้จริงคือนอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระของเกษตรกรได้พอสมควร ยังช่วยประหยัดน้ำได้มาก เพราะสามารถกระจายน้ำได้ดีกว่าใช้สายยางทั่วไป โดยโครงการเน้นพัฒนาไร่หรือพื้นที่สวนพื้นบ้านในพื้นที่ห่างไกลที่ยังทำเกษตรแบบดั้งเดิมอยู่ เพื่อการกระจายน้ำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและช่วยแบ่งเบาภาระของเกษตรกรได้